คีย์ลัดเทพๆ สำหรับ MS Office
Hot Keys A-Z สำหรับ MS Office
CTRL + A = Select All เลือกทั้งหมด
CTRL + B = Bold ตัวหนา
CTRL + C = Copy คัดลอก
CTRL + D = Font format กำหนดรูปแบบอักษร
CTRL + E = Center ตรงกลาง
CTRL + F = Find ค้นหา
CTRL + G = Goto ไปที่
CTRL + H = Replace แทนที่
CTRL + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + J = Justify จัดชิดขอบ
CTRL + K = Insert Hyper Link แทรกการเชื่อมโยงหลายมิติ
CTRL + L = Left จัดชิดซ้าย
CTRL + M = Indent เพิ่มระยะเยื้อง
CTRL + N = New สร้างแฟ้มใหม่
CTRL + O = Open เปิดแฟ้มใหม่
CTRL + P = Print พิมพ์
CTRL + Q = Reset Paragraph ตั้งค่าย่อหน้าใหม่
CTRL + R = Right จัดชิดขวา
CTRL + S = Save จัดเก็บ (บันทึก)
CTRL + T = Tab (ตั้งระยะแท็บ)
CTRL + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + V = Paste วาง
CTRL + W = Close ปิดแฟ้ม
CTRL + X = Cut ตัด
CTRL + Y = Redo or Repeat ทำซ้ำ
CTRL + Z = Undo ยกเลิกการกระทำครั้งล่าสุด
CTRL + SHIFT + A = All Caps ทำเป็นตัวใหญ่ทั้งหมด (สำหรับภาษาอังกฤษ)
CTRL + SHIFT + B = Bold ตัวหนา
CTRL + SHIFT + C = Copy Format คัดลอกรูปแบบ
CTRL + SHIFT + D = Double Underline ขีดเส้นใต้ 2 เส้น
CTRL + SHIFT + E = Revision Mark Toggle สลับการทำเครื่องหมายรุ่นเอกสาร
CTRL + SHIFT + F = Fonts Name Select เลือกชื่อแบบอักษร
CTRL + SHIFT + G = Word count นับจำนวนคำ
CTRL + SHIFT + H = Hidden ซ่อน
CTRL + SHIFT + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + SHIFT + J = Thai Justify จัดคำแบบไทย
CTRL + SHIFT + K = Small Caps ทำอักษรตัวพิมพ์เล็กให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่แบบเล็กๆ
CTRL + SHIFT + L = Apply List Bullet ใช้เครื่องหมายหน้าข้อ
CTRL + SHIFT + M = Unindent ลดระยะเยื้อง
CTRL + SHIFT + N = Normal Style ใช้ลักษณะแบบปกติ
CTRL + SHIFT + O = N/A
CTRL + SHIFT + P = Font Size Select เลือกขนาดแบบอักษร
CTRL + SHIFT + Q = Symbol Font ใช้แบบอักษรสัญลักษณ์
CTRL + SHIFT + R = Recount Words นับคำใหม่
CTRL + SHIFT + S = Style กำหนดลักษณะ
CTRL + SHIFT + T = Unhang ไม่แขวนภาพ
CTRL + SHIFT + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + SHIFT + V = Paste Format วางรูปแบบ
CTRL + SHIFT + W = Word Underline ขีดเส้นใต้เฉพาะคำ
CTRL + SHIFT + X = N/A
CTRL + SHIFT + Y = N/A
CTRL + SHIFT + Z = Reset Character ตั้งค่าแบบอักษรใหม่
CTRL + ALT + A = N/A
CTRL + ALT + B = N/A
CTRL + ALT + C = Copyright sign (©) สัญลักษณ์ลิขสิทธิ์
CTRL + ALT + D = N/A
CTRL + ALT + E = Euro Sign (€) สัญลักษณ์เงินยูโร
CTRL + ALT + F = Insert Footnote Now แทรกหมายเหตุ
CTRL + ALT + G = N/A
CTRL + ALT + H = N/A
CTRL + ALT + I = Print Preview ตัวอย่างก่อนพิมพ์
CTRL + ALT + J = N/A
CTRL + ALT + K = Auto Format จัดรูปแบบอัตโนมัติ
CTRL + ALT + L = Insert List Number แทรกเลขลำดับหน้าข้อ
CTRL + ALT + M = Insert Annotation แทรกคำอธิบาย
CTRL + ALT + N = Normal View มุมมองปกติ
CTRL + ALT + O = Outline View มุมมองแบบร่าง
CTRL + ALT + P = Page View มุมมองเหมือนพิมพ์
CTRL + ALT + Q = N/A
CTRL + ALT + R = Registered sign (®) สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
CTRL + ALT + S = Document Split แยกเอกสาร
CTRL + ALT + T = Trade Mark sign (?) สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้า
CTRL + ALT + U = Update Auto Format for Table ปรับปรุงการจัดรูปแบบอัตโนมัติในตาราง
CTRL + ALT + V = Insert Auto Text แทรกข้อความอัตโนมัติ
CTRL + ALT + W = N/A
CTRL + ALT + X = N/A
CTRL + ALT + Y = Repeat find ค้นหาเพิ่มเติม
CTRL + ALT + Z = Go back ย้อนกลับ
Spacial Keys
CTRL + < = Decrease Font size by step เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + > = Increase Font size by step ลดขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + [ = Decrease Font size by point เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + ] = Increase Font size by point ลดขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + - = Optional Hyphen แทรกยัติภังค์
CTRL + _ = Non Breaking Hyphen แทรกยัติภังค์แบบไม่แบ่งคำ
CTRL + = = Sub Script ตัวห้อย
CTRL + + = Super Script ตัวยก
CTRL + \ = Toggle Master sub documemt สลับไปมาระหว่างเอกสารหลักและเอกสารย่อย
CTRL + , = Prefix Keys กำหนดแป้นพิมพ์
Wanit Ekwanit
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
คีย์ลัดของ Windows
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
สำหรับผู้ที่ทำงานบนหน้าจอประจำ แล้วต้องกดปุ่มอยู่หลายครั้ง กว่าจะถึงงานที่ค้นหา ลองดูปุ่มลัด เอาไว้ กดทำงาน หรือ โครงงาน ไว้ส่งอาจารย์ บางครั้งเราเองก็คงอยากจะทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ แต่ว่าต้องมานั่งเสียเวลากับการเปิดโปรแกรมแต่ละ อย่างเพื่อจัดการ วันนี้เราเอา คีย์ลัดในการใช้คีย์บอร์ดมาฝากกัน จะได้ทำงานได้รวดเร็วขึ้นนะครับ ปุ่ม SHIFT SHIFT + F10 = แสดง Shortcut เมนูสำหรับ Item SHIFT+DELETE = ลบ Item ที่เลือกโดยไม่ต้องเข้า Recycle Bin SHIFT+ TAB =เลื่อนเมนูที่เลือกผ่านมา SHIFT เมื่อใส่ ซีดีรอม ใน ซีดีรอม ไดร์ฟ เพื่อไม่ให้ซีดี ออโต้รัน SHIFT กับปุ่มลูกศรทิศทาง เพื่อเลือก Item หลาย ๆ อันในหน้าต่างบน เดสทอป หรือเลือก text ในเอกสาร ปุ่ม ALT ALT + F4 = ปิดโปรแกรมที่เปิดอยู่ ALT + TAB = สลับระหว่าง Item ที่เปิดอยู่ ALT + ESC = เลื่อนไปตาม Item ตามลำดับของการใช้งาน ALT + ตัวอักษรที่ถูกขีดเส้นใต้บนเมนูบาร์ (เปิดเมนูนั้นใช้งาน) ปุ่ม Windows Windows Logo = เปิดสตาร์ทเมนู Windows Logo + D = โชว์หน้าเดสทอป Windows Logo + M = ลดขนาดหน้าต่างที่เปิดไว้ทั้งหมด Windows Logo + SHIFT + M = เปิดหน้าต่างที่ลดขนาดไว้ขึ้นมา Windows Logo + E = เปิดมาย คอมพิวเตอร์ Windows Logo + F = ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์ Windows Logo + F1 =เปิดระบบช่วยเหลือของ Windows Windows Logo + R = เปิดเมนู Run เพิ่มเติม Ctrl A >>>>> เลือกทั้งหมด Ctrl C >>>>>> คัดลอก Ctrl V >>>>>> วาง Ctrl S >>>>>> บันทึกข้อมูล Ctrl F >>>>>> ค้นหา Ctrl Z >>>>>> ยกเลิกการกระทำก่อนหน้านี้(Undo) Ctrl X >>>> ตัด(Cut) Ctrl Q >>>> ออกจากโปรแกรม Alt Shift(left) >>>> สลับภาษา Shift end >>>>> เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงท้ายของบรรทัด Shift home >>>> เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงต้นของบรรทัด ที่มา : www.eduzones.com |
Tip หรือ เทคนิค การปรับแต่งให้คอมพิวเตอร์
เทคนิคเจาะระบบทำให้ Windows ชัตดาวน์ไม่ได้ |
เรามาเริ่มเทคนิคเจาะระบบอันดับแรกกันเลยดีกว่าครับ สำหรับเทคนิคนี้จะทำให้ Windows ไม่สามารถชัตดาวน์ได้ เนื่องจากคำสั่งชัตดาวน์ที่เมนู Start ได้หายไป แต่ไม่ต้องกลัวครับเราสามารถทำให้กลับคืนมาได้เหมือนเดิม โดยมีวิธีการทำดังนี้ 1. คลิกเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer ![]() 2. สร้างค่า DWORD ขึ้นมา โดยคลิกขวาตรงที่ว่าง ๆ ของเฟรมด้านขวาแล้วเลือกคำสั่ง New > DWORD Valu ![]() 3. ให้ตั้งชื่อค่า DWORD นี้ว่า NoClose 4. คลิกขวาที่ค่า DWORD ชื่อ NoClose แล้วคลิก Modify ![]() 5. จะปรากฎหน้าต่าง Edit DWORD Value ที่ช่อง Value data ใส่ค่า 1 ลงไป ![]() 6. จากนั้นคลิกปุ่ม OK 7. ปิดหน้างต่างโปรแกรม Registry Editor ลงไป จากนั้นให้รีสตาร์ทเครื่องขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ค่าที่ได้ปรับแต่งเกิดผลการเปลี่ยนแปลง 8. เมื่อเครื่องบูตขึ้นมาใหม่ จะเห็นว่าคำสั่ง ShutDown ได้หายไปหากต้องการให้กลับเป็นอย่างเดิม ให้เข้าไปแก้ไขค่า DWORD ชื่อ NoClose เป็น 0 แล้วรีสตาร์ทเครื่องใหม่ โดยกดปุ่ม Ctrl + Alt + Delete พร้อมกัน 2 ครั้ง คำสั่ง ShutDown ก็จะกลับคืนมาเหมือนเดิม |
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Computer เครื่องที่ใช้ CPU Core 2 Duo
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการใช้ CPU ในการประมวลผลที่มีจำนวน Core สองตัว
หรือที่เรียกกันว่า Core 2 Duo สามารถที่จะเอามาใช้รวมกันในการประมวลผลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่
วิธีการ คลิกขวาไปที่ My Computer เลือก Properties --> เลือก Advanced
เลือก Environment Variables
ตั้งค่า Variable name : UGII_SMP_ENABLE
ปรับค่า Variable Value เท่ากับ 1
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ประวัติของ / วิวัฒนาการของ CPU ( Intel)
วิวัฒนาการของ Intel
รายชื่อของซีพียูสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ PC หรือ Desktop แต่ละรุ่นตั่งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของบริษัท อินเทล (Intel) มีดังนี้
- ตระกูล 80x86 เป็นซีพียูรุ่นแรกๆ เช่น 80386,80486 ซึ่งปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว
- Pentium เป็นซีพียูรุ่นแรกที่เปลี่ยนไปใช้วิธีตั้งชื่อเรียกว่า Pentium แทนตัวเลขแบบเดิม
- Pentium MMX เป็นซีพียูที่ได้มีการนำเอาคำสั่ง MMX (Multimedia extension) มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางด้านมัลติมีเดีย
- Pentium Pro เป็นซีพียูรุ่นแรกของตระกูล P6 ซีพียูรุ่นนี้ใช้กับชิปเซ็ตรุ่น 440 FX และได้รับความนิยมในเครื่องเซิร์ฟเวอร์เป็นอย่างมากสมัยนั้น
- Pentium II เป็นการนำซีพียู Pentium Pro มาปรับปรุงโดยเพิ่มชุดคำสั่ง MMX เข้าไป และเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฤฑ์แบบตลับ ซึ่งใช้เสียบลงใน Slot 1 โดย L2 Cache ขนาด 512 ME ที่มีความเร็วเพียงครึ่งเดียวของความเร็วซีพียูCeleron เป็นการนำเอา Pentium II มาลดองค์ประกอบ โดยยุคแรกได้ตัด L2 Cache ออกมาเพื่อให้มีราคาถูกลง
- Pentium III เป็นซีพียูที่ใช้ชื่อรหัสว่า Katmai ซึ่งถูกเพิ่มเติมชุดคำสั่ง SSE เข้าไป
- Celeron II รุ่นแรกเป็นการนำเอา Pentium III ( Coppermine และ Tualatin) มาลด L2 Cache ลงเหลือเพียง 128 KB และ 256 KB ตามลำดับจากนั้นรุ่นถัดมาก็ได้นำเอาซีพียู Pentium 4 (Willamette และ Northwood) โดยยังคงใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Celeron หรือ Celeron II
ซีพียู Celeron D และ Celeron Dual-Core
Celeron รุ่นล่าสุดใช้ชื่อว่า Celeron D ที่ยังคงเป็นซีพียูราคาประหยัดสำหรับผุ้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ใหม่ในราคาไม่ แพงเพื่อนไปใช้งานทั่ว ๆ ไปโดยรุ่นต่าง ๆ ที่ออกมามีดังนี้
- Celeron D (Prescott-90mm) เป็นการนำเอา Penrium 4 (Prescott-90mm) บนสถาปัตยกรรม NetBurst มาลดขนาด L2 Cache ลงจากเดิม 1MB ให้เหลือเพียง 256 KB ความเร็วสูงสุดปัจจุบันอยู่ที่ 3.33GHz ในรุ่น 355 ทำงานด้วย FSB 533 MHz ค่า TDP (ค่าพลังงานความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวซีพียู) สูงสุด 84 W สนับสนุนชุดคำสั่งมัลติมีเดีย MMX/SSE/SSE2/SSE3 และตัดเอาเทคโนโลยี Hyper-Threading (HT) ใน Pentium 4 เดิมออก รหัส Processor Number ที่ใช้จะเป็น 3xx มีทั้งที่ใช้บรรจะภัณฑ์แบบ LGA 775 และ Socket 478 ในบางรุ่น (3x0) โดยมีทั้งรุ่นที่มีเทคโนโลยี XD-Bit และ Intel EM64T และรุ่นเก่าที่มีเฉพาะ XD-Bit เท่านั้น และรุ่นที่ไม่มี XD-Bit เลย
- Celeron D (Cedar Mill-65 nm) เป็นการนำเอา Pentium 4 (Cedar Mill-65 nm) บนสถาปัตยกรรม NetBurst มาลดขนาด L2 Cache ลงจากเดิม 2 MB ให้เหลือเพียงพอ 512 KB ให้รหัส Processor Number 3xx ความเร็วสูงสุดในปัจจุบันอยู่ที่ 3.6 GHz ในรุ่น 365 ทำงานด้วย FSB 533 MHz ค่า TDP สูงสุด 65 W ใช้บรรจุภัณฑ์แบบ LGA 775 สนับสนุนชุดคำสั่งมัลติมีเดีย MMX/SSE/SSE2/SSE3 รวมทั้งเทคโนโลยี Intel EM64T และ XD-Bit (Execute Disable Bit) ด้วย
- Celeron D (Conroe-L/65 nm) เป็น Celeron D รุ่นแรกลนสถาปัตยกรรม Core Microarchitecture (เช่นเดียวกับ Core 2 Duo) ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 0.065 ไมครอน หรือ 65 nm ใชรหัส Processor Number 4xx ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 2.2 GHz ในรุ่น 450 มี L2 Cache ขนาด 512 KB ทำงานด้วย FSB 800 MHz ค่า TDP สูงสุด 35 W ใช้บรรจุภัณฑ์แบบ LGA 775 สนับสนุนชุดคำสั่งมัลติมีเดีย MMX/SSE/SSE2/SSE3/SSSE3 รวมทั้งเทคโนโลยี Intel ERM64T และ XD-Bit ด้วย (ไม่สนับสนุน Hyper-Threading-HT และ Enhanced Intel SpeedStep Technology-EIST)
- Celeron Dual-Core (Merom 2M-65 nm) สำหรับ Notebook เป็น Celeron Dual-Core สำหรับ Notebook บนสถาปัตยกรรม Core Microarchitecture ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 65 nm ใช้รหัส Processor Number T1xxx ควาเร็วสูงสุดในปัจจุบันอยุ่ที่ 1.86 GHz ในรุ่น T1500 มี L2 Cache ขนาด 512 KB (แต่ละคอร์ใช้งานร่วมกัน) ทำงานด้วย FSB 533 MHz ค่า TDP สูงสุด 35 W ใช้กับ Socket M สนับสนุนชุดคำสั่งมัลติมีเดีย MMX/SSE/SSE2/SSE3/SSSE3 รวมทั้งเทคโนโลยี Intel EM64T และ XD-Bit แต่ไม่สนับสนุน EIST และ Hyper-Threading
- ซี พียู Pentium 4 Extreme Edition Pentium 4 Extreme Edition (Gallatin-130 nm) มีความเร็ว 3.4 GHz มี L2 Cache ขนาด 512 KBค่า TDP สูงสุด 110 WPentium 4 Extreme Edition (Prescott 2 M-90 nm ) มีความเร็ว 3.73 GHz ทำงานด้วย FSB 1066 MHz ค่า TDP สูงสุด 115W
- ซี พียู Pentium D นับเป็นก้าวแรกสู่ยุค Dual& Muti-Core ของ Intel โดย Pentium D ถูกออกมา เพื่อการทำงานที่ต้องการ Multitasking สูงๆ หรือสามารถทำงานกับแอพพลิเคชั่นได้หลายตัวพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่- Pentium D ( Smithfield-90nm)- Pentium D (Presler-65 nm)
- ซี พียู Pentium Dual-Core Pentium Dual-Core (Allendale-65 nm) มีความเร็วสูงสุดปัจจุบันอยู่ที่ 2.4 GHz ในรุ่น E2220 ทำงานด้วย FSB 800 MHz มี L2 Cache ขนาด 1 MB ค่า TDP สูงสุด 65 WPentium Dual-Core (Wolfdale 2M-45 nm) มีความเร็วสูงสุดปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 GHz ในรุ่น E2220 ทำงานด้วย FSB 800 MHz มี L2 Cache ขนาด 2 MB ค่า TDP สูงสุด 65 WPentium Dual-Core (Yonah-65 nm) สำหรับ Note book มีความเร็วสูงสุด 1.86 GHz ในรุ่น T2130 ทำงานด้วย FSB 533 MHz มี L2 Cache ขนาด 1 MB ค่า TDP สูงสุด 31 WPentium Dual-Core (Morom 2M-65 nm) สำหรับ Note book มีความเร็วสูงสุด 2.0 GHz ในรุ่น T24100 ทำงานด้วย FSB 533 MHz มี L2 Cache ขนาด 1 MB ค่า TDP สูงสุด 35 W
- ซี พียู Pentium Extreme Edition เป็น Dual-Core ภายใต้แบรนด์ Pentium ในตระกูล Extreme Edition ที่ถูกออกแบบมาสำหรับคอมพิวเตอร์ระดับ Hi- End สมรรถนะสูง เหมาะกับการสร้างสรรค์สื่อบันเทิงต่างๆอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการประมวลผลภาพวิดีโอ และระบบเสียงแบบ High Definition ทั้งงานด้านการออกแบบและเกมส์ต่าง ๆ ได้แก่- Pentium Extreme Edition (Smithfield-90 nm )- Pentium Extreme Edition (Presler-65 nm )
- ซี พียู Core 2 Duo Core 2 Duo (Allendale-65 nm) มีความเร็วสูงสุด 2.6 GHz ในรุ่น E4700 ทำงานด้วย FSB 800 MHz มี L2 Cache ขนาด 2 MB ค่า TDP สูงสุด 65 WCore 2 Duo (Conroe-65 nm) มีความเร็วสูงสุด 3.0 GHz ในรุ่น E6850 ทำงานด้วย FSB 1066 และ 1333 MHz มี L2 Cache ขนาด 4 MB ค่า TDP สูงสุด 65 WCore 2 Duo (Wolfdale 3M-45 nm) มีความเร็วสูงสุด 2.8 GHz ในรุ่น E7400 ทำงานด้วย FSB 1066 MHz มี L2 Cache ขนาด 3 MB ค่า TDP สูงสุด 65 WCore 2 Duo (Wolfdale -45 nm) มีความเร็วสูงสุด 3.3 GHz ในรุ่น E8600 ทำงานด้วย FSB 1333 MHz มี L2 Cache ขนาด 6 MB ค่า TDP สูงสุด 65 W
- ซี พียู Core 2 Extreme (Dual-Core) Core 2 Extreme (Conroe XE-65 nm ) มีความเร็วสูงสุด 2.93GHz ในรุ่น X6800 ทำงานด้วย FSB 1066 MHz มี L2 Cache ขนาด 4 MB ค่า TDP สูงสุด 75 W
- ซี พียู Core 2 Quad Core 2 Quad (Kentsfield-65 nm ) มีความเร็วสูงสุด 2.66 GHz ในรุ่น Q6700 ทำงานด้วย FSB 1066 MHz มี L2 Cache ขนาด 8 MB ค่า TDP สูงสุด 95 WCore 2 Quad (Yorkfield 4M-45 nm ) มีความเร็วสูงสุด 2.33 GHz ในรุ่น LGA775 ทำงานด้วย FSB 1033 MHz มี L2 Cache ขนาด 4 MB ค่า TDP สูงสุด 95 WCore 2 Quad (Yorkfield 6 M-45 nm ) มีความเร็วสูงสุด 2.5 GHz ในรุ่น Q9400 ทำงานด้วย FSB 1033 MHz มี L2 Cache ขนาด 6 MB ค่า TDP สูงสุด 95 WCore 2 Quad (Yorkfield -45 nm ) มีความเร็วสูงสุด 3.0 GHz ในรุ่น Q9650 ทำงานด้วย FSB 1033 MHz มี L2 Cache ขนาด 12 MB ค่า TDP สูงสุด 95 W
- ซี พียู Core 2 Extreme (Quad-Core) Core 2 Extreme (Conroe XE-65 nm) มีความเร็วสูงสุด 3.0 GHz ในรุ่น QX6850 ทำงานด้วย FSB 1066 MHz มี L2 Cache ขนาด 8 MB ค่า TDP สูงสุด
- งานด้วย FSB 1600MHz มี L2 Cache ขนาด 12 MB ค่า TDP สูงสุด 150 W
- ซี พียู Core i7 เป็นซีพียูภายใต้แบรนด์ใหม่ในชื่อ Core i7 ที่ใช้รหัสการผลิตว่า Nehalem หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบใหม่ด้วยโครงสร้างทั้งภาย ในและภายนอกที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น การย้ายเอาส่วนควบคุมหน่วยความจำ เป็นต้น
- ซี พียู Core i7 Extreme Core i7 Extreme (Bloomfield-45 nm) มีความเร็วสูงสุด 3.2 GHz ในรุ่น LGA1366ทำงานด้วย FSB 800/1066/1333/1600MHz มี L2 Cache ขนาด 8 MB ค่า TDP สูงสุด 130 W
Processor Information |
(Moore's Law) คือ
กฎของมัวร์ (Moore's Law)
หากกฎของมัวร์เป็นจริงคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบันจะก้าวไปอย่างไรใน ปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทน หลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)